คริสตี้ฟรองซ์ สาขาเพชรบุรี แฟนเพจ

กด Like อัพเดทข่าวสาร สุขภาพ ความสวย ความงาม ลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี

คริสตี้ฟรองซ์ สาขาเพชรบุรี โทร (032) 439-400

ลดกระชับสัดส่วน ลดเฉพาะจุด ดูแลความงาม ลดน้ำหนักคุณแม่หลังคลอด ผิวสวย หน้าใส

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ลดน้ำหนัก แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ลดน้ำหนัก แสดงบทความทั้งหมด

5 มีนาคม 2558

13 วิธีง่ายๆ น้ำหนักลดแน่นอน

หัวใจของการลดน้ำหนัก คือ การเบิร์นแคลอรีออกให้มากกว่าที่กินเข้าไป” แต่ถ้าคุณไปไม่ถึงไหนเสียที เผลอๆ กางเกงคับกว่าเดิมเสียอีก อย่าเพิ่งท้อ เรามี 13 วิธีง่ายๆ ที่ช่วยให้คุณผอมลงเพียงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนิดๆ หน่อยๆ โดยไม่ต้องทรมานตัวเองมากจนเกินไป

5

1. ดื่มน้ำเปล่า : ผลการวิจัยล่าสุดบอกว่าชาวอเมริกันได้รับพลังงาน 245 แคลอรีต่อวัน จากการดื่มน้ำอัดลม คิดเป็น 90,000 แคลอรีต่อปี และทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มถึง 11 กิโลกรัม นักวิจัยยังเผยอีกว่า นอกจากได้รับแคลอรีเกินจำเป็นแล้ว ‘เครื่องดื่มที่อัดแก๊สและน้ำตาลไม่ได้ช่วยให้หายหิวเหมือนอาหารแต่อย่างใด’
ดังนั้น หันมาดื่มน้ำเปล่ากันดีกว่าค่ะ

2. เขียนไดอารี่ : จดรายการอาหารทุกอย่างพร้อมปริมาณที่หยิบเข้าปากไม่เว้นแม้แต่น้ำ คนที่จดบันทึกรายการกินของตัวเอง จะกินน้อยกว่าคนที่ไม่จด 15%

3. กินมากมื้อ แต่น้อยปริมาณ : แบ่งกินอาหารมื้อเล็กๆ 4-5 มื้อ แทนที่จะกินมื้อใหญ่เพียงวันละ 3 มื้อ แต่ฟาดไม่ยั้ง ผลการศึกษาจากแอฟริการะบุว่า ‘เมื่อเราแบ่งมื้อเช้าเป็น 2 มื้อเล็กๆ คั่นระหว่าง 5 ชั่วโมงก่อนถึงมื้อเที่ยง เราจะได้รับแคลอรีร้อยละ 30%’ เมื่อเทียบกับการกินมื้อเช้าแบบจัดเต็มรวดเดียวจบ วิธีนี้ยังทำให้ร่างกายหลั่งอินซูลินลดลง ซึ่งช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดและควบคุมความหิวได้

4. ไปเดินเล่น : เดินวันละ 45 นาทีแทน 30 นาที มหาวิทยาลัยดุ๊คแจงว่า การเดินแค่วันละ 30 นาทีแค่ป้องกันน้ำหนักเพิ่มสำหรับคนที่ชอบนั่งๆ นอนๆ ทั้งวัน แต่การออกกำลังกายนานกว่า 30 นาทีช่วยลดน้ำหนักและสลายไขมันได้ ‘การเดินวันละ 5 กิโลเมตร ใช้เวลา 45 นาที เผาผลาญได้ 300 แคลอรี ช่วยให้น้ำหนักหายไปได้ปีละ 14 กิโลกรัม โดยไม่ต้องควบคุมอาหารมาก’

5. สีฟ้าลดพุง : สีฟ้าช่วยระงับความอยากอาหารได้ ‘ลองใช้จานสีฟ้า สวมชุดสีฟ้า ใช้ผ้าปูโต๊ะสีฟ้า คุณจะกินน้อยลงอย่างคาดไม่ถึง ในทางตรงกันข้าม สีแดง เหลืองและส้มจะกระตุ้นให้คุณกินเยอะกว่าเดิม’



6. ชงกาแฟกินเอง : กาแฟชงธรรมดาให้แคลอรีน้อยกว่ากาแฟจากร้านฮิตที่มักจะพ่วงนม วิปป์ครีมและไซรัปแบบจัดเต็ม เคล็ดลับการกินให้อร่อย คือ เลือกเมล็ดกาแฟคุณภาพเยี่ยม นมไขมันต่ำและคุมปริมาณน้ำตาลด้วย แล้วคุณจะลืมกาแฟร้อยแคลอรีจากร้านยอดฮิตไปเลย

7. อาหารสีขาวห้ามกิน : ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากแป้งสีขาว ข้าวขาว และน้ำตาล จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงโดยไม่ได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ใดๆ ให้คุณเลือกบริโภคโฮลเกรนและข้าวกล้องแทน ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า ‘คนที่กินโฮลเกรนมากกว่า 2 ครั้งต่อวัน เปอร์เซ็นต์อ้วนฉุจะน้อยกว่าคนที่กินข้าวขาว 49%’ หุงข้าวกล้องพกใส่กล่องไปกินที่ทำงานซะ

8. กินที่บ้านสิผอมแน่ : คุณมีแน้วโน้มที่จะกินมากขึ้นเมื่อออกไปกินอาหารนอกบ้าน แถมยังต้องเจอแต่อาหารไขมันสูงที่เสิร์ฟในปริมาณมากเพื่อให้ดูน่ากินอีก

9. ของหวานอ้วนนะ : หลีกเลี่ยงอาหารปรุงสำเร็จที่ฉลากอาหารระบุว่า ‘มีน้ำตาลฟรุคโตส หรือ คอร์นไซรัป’ เป็นส่วนผสมอันดับแรกๆ เชื่อเถอะว่าคุณสามารถหาอาหารน้ำตาลต่ำได้ไม่ยาก

10. กินช้าๆ ได้หุ่นงามๆ : กินอย่างมีสติ ‘วางช้อนและส้อมทุกครั้งที่เคี้ยว’ จิบน้ำและแชร์เรื่องสนุกๆ กับคนที่ร่วมโต๊ะบ้าง เมื่อสมองสั่งการว่าอิ่ม คุณจะกินในปริมาณที่น้อยลงกว่าที่คิดไว้เยอะ

11. ลดขนาดจานใส่อาหาร : การศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่า ยิ่งมีอาหารอยู่ตรงหน้าน้อยเท่าไหร่ คุณก็กินน้อยลงเท่านั้น ตรงกันข้ามยิ่งมีอาหารฟู่ฟ่ามากมาย คุณจะกินมากทั้งที่ไม่รู้สึกหิว

12. ดูทีวีน้อยลง : การนั่งอยู่หน้าโทรทัศน์แล้วกิน จะทำให้คุณดูเพลิน เคี้ยวเพลิน ถ้าคุณติดนิสัยนี้ ให้หันไปทำอย่างอื่นในข้อ 13

13. ทำความสะอาดบ้าน : การทำงานบ้านเป็นวิธีเบิร์นแคลอรีที่ดีอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะกวาดบ้าน เช็ดกระจก หรือล้างห้องน้ำ ร่างกายได้ใช้พลังงานและเผาผลาญไขมันส่วนเกินออกไปทุกนาทีที่เคลื่อนไหว ใครไม่ชอบเข้ายิม ลองใช้วิธีนี้ดูนะคะ ไม่ผอมก็ให้มันรู้ไป

17 ธันวาคม 2557

เทคนิคขั้นเทพ 10 วิธีแบบฉบับสาวเกาหลีลดน้ำหนัก

มีการบันทึกสถิติเอาไว้ว่า ในช่วงหน้าหนาวของทุกๆ ปี สาวๆ มักจะมีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นจากการที่ไม่อยากไปออกกำลังกาย รวมถึงพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่มากขึ้น ทำให้น้ำหนักตัวโดยเฉลี่ยของสาวๆ สูงขึ้นเดือนละประมาณครึ่งกิโลกรัม ดังนั้นเราเป็นคนไม่ใช่หมี ไม่จำเป็นต้องกินเพื่อสะสมพลังงานในหน้าหนาว เรามาลองใช้ 10 วิธีข้างต้นของสาวเกาหลีกันดู เชื่อว่าจะเกิดผลลัพธ์ที่ดีกับรูปร่างสวยๆ ของคุณผู้อ่านได้ไม่ใช่น้อย



วิธีที่ 1 การรับประทานอาหารที่มีกากใย หรือไฟเบอร์สูง อาทิเช่น เมล็ดธัญพืชต่างๆ ข้าวซ้อมมือ ผักใบสีเขียวสด เช่น คะน้า บรอกโคลี ผักพื้นบ้าน เช่น มะเขือเปราะ ผักกระเฉด ผักบุ้ง อาหารที่มีกากใยสูงเหล่านี้จะช่วยให้เราเคี้ยวนานขึ้นและพออาหารอยู่ในระบบทางเดินอาหารของเรา กากใยจะช่วยให้เรารู้สึกอิ่มได้นานขึ้น


วิธีที่ 2 การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ คนเราควรนอนหลับสนิทอย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง เพราะการนอนที่ไม่เพียงพอจะทำให้ฮอร์โมนควบคุมความหิวที่ชื่อ “ฮอร์โมนเกรลิน” (Ghrelin Hormone) หลั่งออกมาไม่เป็นเวลา ทำให้เรารู้สึกหิวก่อนมื้ออาหาร เทคนิคที่ช่วยให้นอนหลับได้สนิทขึ้นคือการทำให้ห้องมืดสนิทหลังปิดไฟ ปิดทีวีก่อนเวลานอนอย่างน้อย 1 ชั่วโมง และการอ่านหนังสือเบาสมองก่อนนอน จะช่วยทำให้หลับสนิทอย่างอารมณ์ดี

วิธีที่ 3 การรับประทานอาหารกลุ่มโปรตีนให้เพียงพอ “ในมื้อเช้า” จากการศึกษาพบว่าการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนดีสูง อย่างเช่น ไข่ขาว เนื้อปลา เมล็ดถั่ว น้ำนมไขมันต่ำ เต้าหู้ถั่วเหลือง จะช่วยให้ร่างกายรู้สึกอิ่มได้นาน ไม่หิวจัดระหว่างวัน

วิธีที่ 4 การรับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ (Glycemic Index) หมายถึง อาหารที่ร่างกายสามารถย่อยเป็นน้ำตาลได้อย่างช้า ๆ เมื่อน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นช้า ร่างกายจะค่อยๆ ปล่อยอินซูลินออกมาในกระแสเลือด เพื่อดึงน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ทำให้ร่างกายของเรารู้สึกอิ่มได้นานและไม่หิว อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ อาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตที่ไม่ผ่านการแปรรูป ผักต่างๆ เช่น บรอกโคลี หน่อไม้ฝรั่ง กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี ผักชี แตงกวา ผักสลัด หัวไช้เท้า ผักโขม ถั่วต่างๆ ผักคะน้า หอมหัวใหญ่ ฟักทอง มันเทศสีม่วง พริกไทย เห็ด และกระเจี๊ยบเขียว

วิธีที่ 5 ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ แนะนำให้หาขวดน้ำประจำตัวพกติดตัวไว้เสมอ ทั้งที่โต๊ะทำงาน ขณะออกกำลังกาย ที่โต๊ะอาหาร ข้างเตียงนอน เนื่องจากน้ำสะอาดเป็นสิ่งสำคัญในกระบวนการย่อยอาหารให้เป็นพลังงาน การที่ร่างกายขาดน้ำจะทำให้กระบวนการเผาผลาญอาหาร (Metabolism) ทำงานได้ช้าลงเราสามารถเพิ่มรสชาติและกลิ่นที่น่าสนใจให้น้ำเปล่าของเราได้ด้วยการสไลซ์มะนาวหรือขิงบางๆ ตามชอบ ใส่น้ำแข็งกับโซดาช่วยเพิ่มความสดชื่นและวิตามินไปในตัว

วิธีที่ 6 แปรงฟันด้วยยาสีฟันทุกครั้ง หลังมื้ออาหาร นอกจากจะช่วยให้สุขภาพปากและฟันดีขึ้นแล้วการแปรงฟันทุกครั้งหลังอาหารเปรียบเสมือนจุดฟูลสต๊อปปิดท้ายประโยคภาษาอังกฤษ เป็นการสั่งให้สมองจดจำว่ามื้ออาหารนั้นๆ ได้สิ้นสุดลงแล้ว บอกสมองว่าเวลานี้เรารู้สึกอิ่มและร่างกายได้รับสารอาหารเพียงพอแล้วนั่นเอง

วิธีที่ 7 ออกกำลังกายทุกวันหลังเลิกงานอย่างน้อย 30 นาทีก่อนกลับบ้าน ก่อนออกไปทำงาน เตรียมเสื้อผ้าสำหรับออกกำลังกายติดรถไปด้วย เลือกฟิตเนสหรือสวนสาธารณะบนเส้นทางที่คุณจะต้องขับรถผ่านเพื่อกลับบ้าน แวะออกกำลังกายสัก 30 นาที ให้พอเหงื่อออก ทำให้ร่างกายของเราหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินออกมา ซึ่งจะช่วยลดความรู้สึกหิวกระหายลงได้

วิธีที่ 8 กำจัดอาหารที่ไม่ส่งผลดี หรือไม่จำเป็นออกจากที่ทำงาน ครัวที่บ้าน หรือในรถของคุณให้หมด ขอย้ำว่าอย่าเสียดาย!! และอย่าทำร้ายเพื่อนสนิทด้วยการนำของเหล่านี้ไปฝาก ให้เลือกเก็บเอาไว้เฉพาะอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ยกตัวอย่างเช่น ผลไม้สด โดยพยายามวางไว้ในตู้เย็นบริเวณที่หยิบจับง่าย สำหรับในรถถ้าคุณกลัวว่าจะหิวระหว่างเดินทางผักแปรรูป อย่างเช่น มะเขือเทศอบแห้ง กระเจี๊ยบเขียวอบกรอบ ถือเป็นของกินเล่นแก้หิวที่ดีอย่างหนึ่ง


วิธีที่ 9 เคี้ยวหมากฝรั่งที่ปราศจากน้ำตาล หลังมื้ออาหารเสมอ ถ้าคุณไม่สามารถแปรงฟันหลังจากรับประทานอาหารทุกครั้ง สามารถใช้การเคี้ยวหมากฝรั่งแทนได้ การเคี้ยวหมากฝรั่งจะช่วยลดความอยากรับประทานของหวานหลังมื้ออาหารลงได้

วิธีที่ 10 รับประทานข้าวให้อิ่มทุกครั้งก่อนออกไปซื้ออาหารในตลาด หลีกเลี่ยงการไปร้านสะดวกซื้อ หรือซูเปอร์มาร์เกตขณะที่คุณหิวจัด ควรไปหลังจากที่คุณรับประทานอาหารจนอิ่มแล้ว วิธีนี้จะช่วยให้คุณลดพฤติกรรมการซื้ออาหารด้วยอารมณ์หิว และให้เลือกซื้อเฉพาะอาหารที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพเท่านั้น แนะนำให้ใช้ตะกร้าแทนรถเข็นเพื่อจำกัดปริมาณอาหารที่จะซื้อในแต่ละครั้ง

CR : แม่บ้าน

18 เมษายน 2556

ไดเอ็ท-ไดอด ลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี เพื่ออวดหุ่นสวยริมทะเล

     ทำยังไงดีละ น้ำหนักยังไม่ลดเลยสักกิโลฯ  “ตายแล้ว”! เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะไปเที่ยวทะเลแล้ว ชุดว่ายน้ำตัวโปรดไม่รู้จะสวมได้ไหม อย่างนี้ต้องหักดิบด้วยการไดเอ็ท คงต้องฟิตรูปร่างซะหน่อยแว้ว ^^


        ยู้ด...หยุด ความคิดนี้ไปได้เลยค่ะ ใครที่กำลังจะอดอาหาร ลืมไปได้เลย เพราคุณรู้หรือเปล่าว่า การลดน้ำหนักอย่างถูกวิธีนั้น ควรจะรับประทานอาหารให้ครบทุกหมู่และทุกมื้อ อ๊ะๆ ถ้าไม่เชื่อ งั้นต้องลองมาอ่านข้างล่างนี่กันดูซะหน่อยแล้ว

ยิ่งอด ยิ่งอ้วน
เมื่อไหร่ที่เราอดอาหาร ร่างกายก็จะกลัวอดตามไปด้วย ระบบต่างๆ จึงสั่งให้เก็บไขมันเอาไว้ แต่จะไปดึงในส่วนของกล้ามเนื้อออกมาใช้ก่อน ซึ่งถ้าคุณอดอาหารแล้วน้ำหนักลดลงไปสัก 2 กิโลกรัม อย่าเพิ่งดีใจเต้นแร้งเต้นกาไปเลยค่ะ เพราคุณรู้หรือเปล่าว่า 1 กรัมในนั้นคือกล้ามเนื้อที่เป็นโปรตีนได้หายไป ซึ่งก็หมายความว่าคุณได้สูญเสียแหล่งเผาผลาญพลังงานแหล่งใหญ่ไปด้วยค่ะ

ส่วนประกอบสำคัญของร่างกาย คือ โปรตีนและไขมัน ซึ่งคนทั่วไปมักจะไม่ค่อยกินเพราะกลัวอ้วน แถมบางคนเชื่อว่าไขมันตัวร้ายยังชอบแฝงมากับโปรตีนซะอีก เวลาหิวจึงมักจะหยิบขนมหรือแซนด์วิชขึ้นมากิน แต่ลืมนึกไปว่าของเหล่านี้คือคาร์โบไฮเดรตทั้งนั้น ซึ่งจะย่อยได้ไว (หลังจากกินไปแล้วประมาณ 30-40 นาทีก็ย่อยหมดแล้วค่ะ) พอย่อยเสร็จก็จะอยู่ในรูปของกลูโคสและถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ส่วนโปรตีนและไขมันจะย่อยได้ช้ากว่า แถมในโปรตีนยังมีสารที่เรียกว่ากลูคาร์กอนเป็นตัวพา ทำหน้าที่ให้น้ำตาลในเลือดถูกขับออกมาใช้ในรูปของกลูโคส ซึ่งทำหน้าที่ตรงกันข้ามกับอินซูลินที่เอาน้ำตาลในเลือกออกมาเป็นไขมัน สรุปได้ว่าการกินโปรตีนจะช่วยให้ร่างกายขับของเก่าออกมาใช้ แต่การกินคาร์โบไฮเดรตมีแต่ไขมันส่วนเกินที่เพิ่มขึ้นมาค่ะ


ไดเอ็ทกับการนับแคลอรี
สำหรับสาวๆ ที่หันมากินแต่ผักและผลไม้เพียงอย่างเดียวเพื่อหนทางสู่ความผอมนั้น จะทำให้ร่างกายไม่แน่นแถมย้วยอีกต่างหาก และยังเข้าใจไปด้วยว่าถ้าอยากผอมจะต้องกินอาหารให้น้อยกว่าพลังงานที่ร่างกายใช้ ขอบอกว่า คิดผิดแล้วค่ะ เพราะการอดจะทำให้คุณอยู่ในสภาวะ Under Eating ร่างกายจะเผาผลาญน้อยลง และหลังจากอดไปได้สักพัก ร่างกายจะทนไม่ไหวต้องหันกลับมากินเหมือนเดิมอีก คราวนี้ผลที่ตามมาก็คือความอ้วนไงล่ะ ฉะนั้นจำไว้เลย ถ้าอยากผอมก็ควรแก้ที่ต้นเหตุ นั่นก็คือ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานค่ะ
อยากผอมต้องทำไง
ถ้าอยากผอมต้องไม่ลดขนาดการกินเป็นอันขาด แต่ควรกินโดยการ Combine Protein คือ ถ้าจะกินนม ก็ให้ลดข้าวไป เพราะข้าวกับขนมก็เป็นคาร์โบไฮเดรตเหมือนๆ กัน และควรจะกินโปรตีนเป็นหลัก เพราะโปรตีนอยู่ในหมวดที่มีการซ่อมสร้าง อีกทั้งโปรตีนยังทำให้น้ำตาลในเลือดคงที่ด้วย ทำให้คุณไม่นึกอยากแตะของหวานๆ หรือขนมขบเคี้ยวไปโดยปริยาย ฉะนั้นมื้อเย็นควรจะต้องกินโปรตีนให้สูง เพื่อให้ร่างกายซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เมื่อ Growth Hormone ถูกหลั่งออกมา ก็จะนำของเก่านี่แหละออกมาใช้เป็นพลังงาน ซึ่งโปรตีนที่หาได้ง่ายและดีที่สุดก็คือ โปรตีนจากไข่ นั่นเองค่ะ




5 มีนาคม 2556

แร่ธาตุจำเป็นสำหรับการลดน้ำหนัก

การทำงานของร่างกายที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนัก เช่น ความอยากอาหาร ความหิว อัตราการเผาผลาญระดับน้ำตาลในเลือด และอื่นๆ จะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า เมื่อเราได้รับแร่ธาตุอย่างเหมาะสม แร่ธาตุเหล่านี้ล้วนมีบทบาทในการรักษาสุขภาพและน้ำหนักตัว ซึ่งส่วนใหญ่จะทำงานร่วมกัน มันจึงไม่ถูกต้องนักหากจะแยกแร่ธาตุที่ “ดีที่สุด” เพียงอย่างเดียวสำหรับการลดน้ำหนัก แต่แร่ธาตุบางอย่างก็มีค่าพอที่จะทำความรู้จักมากเป็นพิเศษนั่นก็คือ


  ๐ แคลเซียม งานศึกษาวิจัยในคลินิกเมื่อไม่นานมานี้ บ่งชี้ถึงสัมพันธภาพในเชิงบวก ระหว่างการบริโภคแคลเซียมกับการลดน้ำหนัก นั่นคือการกินแคลเซียมในปริมาณเท่ากับการกินอาหารนมสองส่วนในแต่ละวัน สามารถลดความเสี่ยงของการมีน้ำหนักเกินลงได้ บางทีอาจมากถึง 70 เปอร์เซ็นต์ทีเดียว

โครเมียม ใช้ในการเผาผลาญน้ำตาล เมื่อไม่มีเพียงพอ อินซูลินจะมีประสิทธิภาพน้อยลง ในการจัดการกับระดับน้ำตาลในเลือด ด้วยวิธีนี้ โครเมียมจึงช่วยในการควบคุมความอยากอาหารและลดความหิว อาหารที่อุดมด้วยโครเมียมได้แก่ ไข่แดง เนื้อวัว ตับ น้ำผลไม้ ขนมปังโฮลเกรน

แมงกานีส ช่วยในการเผ่ผลาญไขมันและกลูโคสในเลือด ทั้งยังช่วยให้ธัยรอยด์ทำงานอย่างเหมาะสม ซึ่งจำเป็นต่อการรักษาน้ำหนักที่ดีต่อสุขภาพ แหล่งอาหารที่อุดมด้วยแมงกานีสได้แก่ จมูกข้าวสาลี ชา ผักโขม ถั่ว ข้าวโอ๊ต สับปะรด ผักใบเขียว

สังกะสี ช่วยในการจัดการกับความอยากอาหาร และช่วยแก้ไขการทำงานของฮอร์โมน เช่น อินซูลิน การขาดสังกะสีพบกันมากในหมู่ผู้ที่สูบบุหรี่ คนดื่มหนัก คนที่กินมังสวิรัติบางคน คนที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง และคนที่กินอาหารแคลอรี่ต่ำอย่างเคร่ง ครัดเกินไป อาหารที่อุดมด้วยสังกะสีได้แก่ สัตว์น้ำที่มีกระดองทั้งหลาย ปลาเฮอร์ริ่ง จมูกข้าวสาลี เนื้อวัวหรือเนื้อแกะไม่ติดมัน ไข่ เมล็ดอัลมอนด์ และเนื้อไก่



22 กุมภาพันธ์ 2556

สิ่งที่ได้เรียนรู้จาก การลดน้ำหนักผิดวิธี

นก-ชลิดา (เถาว์ชาลี) ตันติพิภพ อดีตนางสาวไทย ปี 2541 เธอเป็นคนหนึ่งที่เคยผ่านประสบการณ์ลดน้ำหนัก และการควบคุมน้ำหนักด้วยวิธีผิดๆ มาตลอดกว่า 10 ปี จนเป็นโรคบลูลิเมีย จากนั้นก็หันมาใช้ยาลดน้ำหนักจนร่างกายผ่ายผอม สุขภาพทรุดโทรม แต่วันนี้เธอหันหลังให้กับวิธีผิดๆ เหล่านั้น และเลือกควบคุมน้ำหนักด้วยวิธีเลือกรับประทานอาหาร ซึ่งนั่นทำให้เธอได้สุขภาพกายและใจที่แข็งแรงกลับคืนมา จึงอยากถ่ายทอดประสบการณ์ตรงในเรื่องการลดน้ำหนักว่าเป็นอย่างไร ให้กับทุกท่านที่กำลังคิดจะลดความอ้วนอย่างผิดวิธีได้นำมาปรับและเป็นแง่คิด



ชลิดา เถาว์ชาลี

เป็นโรคบลูลิเมีย
นกเป็นคนไทยแต่เกิดที่อเมริกา พอ 5 ขวบก็ย้ายมาอยู่เมืองไทย พออายุ 16 ปี ก็กลับไปอเมริกาอีก ตอนอยู่อเมริกาก็เริ่มเป็นวัยรุ่น เลยกลัวอ้วน ตอนนั้นหนัก 70 กก. เวลากินก็รู้สึกผิดไปหมด ต้องไปอาเจียนออกให้หมด เป็นแบบนี้มาตลอดแต่ไม่รู้ว่าตัวเองไม่สบาย มารู้ก็ตอนช่วงที่เรียนพยาบาลอยู่ปี 3 อาจารย์ให้ไปดูแลคนไข้ เขาเป็นโรคบลูลิเมียและมีอาการแบบนกเลย นกเล่าให้คุณแม่ฟัง แม่นกเป็นพยาบาลก็พยายามรักษานกด้วยตัวเอง แต่ไม่หายสักที จนต้องไปพบจิตแพทย์ ในที่สุดนกมาคิดได้ว่า เราต้องรู้คุณค่าของตัวเอง ถ้ามัวแต่เครียดและไม่พอใจตัวเองแบบนี้ไปเรื่อย จะมีแต่แย่ลง พอเราเริ่มตระหนักเห็นคุณค่าของตัวเองและได้รับการรักษาที่ถูกวิธี ในที่สุดก็สามารถหายจากโรคบลูลิเมียได้

เริ่มใช้ยาลดน้ำหนัก
พอกลับมาเมืองไทย นกเข้าประกวดนางสาวไทย ก็เป็นห่วงเรื่องน้ำหนักตัวและคิดอยากให้ผอมลงกว่าเดิม จึงคิดลดน้ำหนักอีก แต่คราวนี้เลือกใช้ยาในการลดน้ำหนัก การใช้ยาลดความอ้วน ตอนแรกให้ผลดีมาก น้ำหนักลดลงเร็ว แต่ไม่นานก็กลับมาเพิ่มขึ้นอีก นกใช้ยาลดความอ้วนอยู่ 3 ปี ก็ต้องไปหาหมอตลอด ซึ่งหมอก็จะให้ยาที่มีขนาดแรงขึ้นๆ พอใช้ไปเรื่อยๆ น้ำหนักจะลดช้าลง เพราะเราเกิดอาการดื้อยาและถ้าไม่ใช้ยาต่อเนื่องมันก็เกิดโยโย่เอฟเฟ็กต์ได้ ตอนนั้นน้ำหนักลดเหลือ 51 กก. พอโยโย่น้ำหนักก็จะขึ้นมาถึง 60 กก. ก็ต้องกินยาอยู่อย่างนั้นไปตลอด

โทรมสุดขีดเพราะฤทธิ์ยา
ช่วงที่ใช้ยาก็จะมีอาการใจสั่น เล็บเหลือง ผมร่วง หลับบ้างไม่หลับบ้าง ทุกอย่างมันแย่ไปหมด จนวันหนึ่งซึ่งเป็นวันหยุด นกได้มีเวลามามองตัวเอง ส่องกระจกดูหน้าเรา ตอนปราศจากเครื่องสำอาง ก็เริ่มเห็นว่าร่างกายทรุดโทรมลงไปมาก อ่อนแอลง ผิวพรรณไม่สดใส ร่างกายไม่สดชื่น คุณหมอเคยบอกว่า ยาลดความอ้วนที่นกกินอยู่มีความเข้มข้นที่ระดับ 6 จากทั้งหมด 7 ระดับ ซึ่งมันเป็นขั้นที่แรงมากเลยและเราได้พอเห็นสภาพที่ทรุดโทรมของตัวเอง นกบอกตัวเองเลยว่า จะไม่ทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอีกแล้ว เพราะกลัวตาย และก็เลิกยาลดน้ำหนัก หันมาสนใจเรื่องอาหารแทน

สู่วิธีที่ดี-ควบคุมอาหาร
ถ้าอยากลดน้ำหนัก แนะนำว่าอย่าใช้ยาหรืออดอาหาร นกใช้หลักการกินอาหารแบบไรท์แอนด์โลว์คาร์บ คือ กินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำและดีต่อร่างกาย ซึ่งมีอยู่ทั้ง 3 ช่วง ช่วงที่ 1 ชีวิต Sugar-Free เน้นกินแต่เฉพาะกับข้าวและผัก งดน้ำตาล ช่วงที่ 2 เพิ่มผลไม้และโฮลเกรน ช่วงนี้กินพวกคาร์โบไฮเดรตได้ เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท ช่วงที่ 3 เป็นตัวของตัวเอง จะกินอะไรก็ได้ แต่ควรเลือกเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย