โยโย่เอฟเฟค ไม่ได้เกิดจากการกินยาลดความอ้วนเพียงอย่างเดียว การกินอาหารน้อยเกินไป ก็ทำให้โยโย่ได้เช่นกัน
★ อ้วนพยายามกินให้น้อยลงเยอะๆ ติดต่อกันหลายวัน
★ ร่างกายคนเราฉลาด มันจะเข้าใจว่า เฮ้ย! มีอาหารเข้ามาน้อย เราต้องปรับเปลี่ยนระบบการเผาผลาญให้ต่ำลง เปลี่ยนเป็นเซฟตี้โหมด เก็บไขมันเอาไว้ จะได้มีพลังงานเหลือเพื่อใช้ในการดำรงชีวิต ไม่งั้นเราต้องตายแน่ๆ
★ ช่วงแรกน้ำหนักจะลดลงอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น คนก็คิดว่าวิธีนี้มันได้ผลจริงๆด้วย แต่พอทำต่อไป น้ำหนักก็จะไม่ลงแล้ว แถมไขมันสะสมก็ยังอยู่ เซลลูก็ยังมี
★ ผ่านไปซักช่วงหนึ่ง อาจจะประมาณเดือนสองเดือนพอไม่เห็นผล ก็เริ่มกลับมากินเยอะเหมือนเดิม เพราะไม่มีใครจะกินน้อยมากกกกก ได้ไปตลอดชีวิตอยู่แล้ว
★ คราวนี้แหละ ร่างกายที่ขาดอาหารนานๆ มันจะดีใจ แล้วมันจะรีบกักเก็บอาหารนั้นมาเตรียมเป็นพลังงานสำรอง ประมาณว่า เฮ้ย! พวกเรา รีบเก็บอาหารไว้นะ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีอาหารมาอีก
★ ระบบเผาผลาญที่ทำงานต่ำอยู่(พังอยู่) เมื่อเจออาหารเข้าไปเยอะๆ ทำให้เกิดการสะสมของไขมันมากขึ้นน้ำหนักจึงขึ้นอย่างรวดเร็วอีกเช่นกัน
★ พออ้วนขึ้น ก็กลับมากินน้อยมากๆ เหมือนเดิม วนเวียนไปอยู่อย่างงี้ ไม่มีที่สิ้นสุด
★ ทางออกก็คือ พยายามกินให้พอดี ไม่น้อยเกินไป รักษากลไกของร่างกายให้สมดุลย์ แล้วออกกำลังกายด้วย คือวิธีลดน้ำหนัก ลดความอ้วนที่ถูกต้อง
บางคนทำไมเข้าใจว่า การลดน้ำหนักคือการกินให้น้อยลงแค่นั้น ไม่ใช่นะ การลดน้ำหนักมันต้องออกกำลังกายด้วย เพราะการออกกำลังกายคือการบังคับร่างกายให้เผาผลาญไขมันที่มันสะสมอยู่
เอาเป็นว่า ถ้าอยากลดน้ำหนัก ลดความอ้วน ให้กินให้พอดีและออกกำลังกาย ไม่งั้นคุณก็จะเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวังวนของโยโย่เอฟเฟค อ้วนผอม ผอมอ้วน อยู่อย่างงั้น
อยากลดน้ำหนักต้องอย่าใจร้อนค่ะ กว่าจะอ้วนใช้เวลาตั้งหลายปี เวลาลดก็ต้องใช้เวลาเช่นกัน
ทานน้อย --> ผอมลง
ต้องทานน้อยลงอีก --> ถึงจะผอมลงอีก โรคภัยเริ่มถามหา
ผ่านไป 10 ปี แกอาจจะต้องทานข้าวได้แค่วันละคำเพื่อจะได้ผอม
ทานพอดี+ออกกำลังกาย --> ผอม
ทานเยอะขึ้น+ออกกำลังกาย --> ผอมและเฟิร์ม สุขภาพดี
ผ่านไป 10 ปี กินข้าววันละ 6 มื้อ ยังผอมเหมือนเดิม สุขภาพก็ดีขึ้น แข็งแรงขึ้น
บอกได้แค่นี้ จำไว้ไม่มีทางลัดในการประสบความสำเร็จ
รักนะ
นัท
เจ้าของเพจ train hard look hot by Nattie