คริสตี้ฟรองซ์ สาขาเพชรบุรี แฟนเพจ

กด Like อัพเดทข่าวสาร สุขภาพ ความสวย ความงาม ลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี

คริสตี้ฟรองซ์ สาขาเพชรบุรี โทร (032) 439-400

ลดกระชับสัดส่วน ลดเฉพาะจุด ดูแลความงาม ลดน้ำหนักคุณแม่หลังคลอด ผิวสวย หน้าใส

11 กุมภาพันธ์ 2561

16 ของ ‘ต้องห้าม’ มอบเป็นของขวัญใน ‘ตรุษจีน’ 2018



ตรุษจีน หรือ วันปีใหม่ของชาวจีน  ช่วงเวลาเฉลิมฉลองของครอบครัว และมักมองของขวัญให้แก่กัน เฉกเช่นธรรมเนียมของชาวตะวันตก  แต่การให้ของขวัญสำหรับชาวจีนก็ต้องระมัดระวังไว้บ้าง  เนื่องจากมีความเชื่อและแนวคิดบางอย่างที่ทำให้สิ่งของเหล่านั้นมีความหมายไม่ดีนักสำหรับมอบให้แก่กันในวันเริ่มต้นปี รวบรวม 16 ของต้องห้ามให้แก่กันในช่วงตรุษจีนดังนี้  (บางอย่างเป็นความเชื่อชาวจีนบางกลุ่ม)
1. กระเป๋าตังค์
กระเป๋าตังค์เปรียบเสมือนที่เก็บทรัพย์สินส่วนตัว ดังนั้น การซื้อกระเป๋าตังค์ให้ผู้อื่น คนจีนถือว่าเป็นการนำที่กักเก็บเงินทองของตนเองให้ผู้อื่นด้วย เชื่อว่าจะส่งผลให้ทรัพย์สินของตนเองรั่วไหลไปให้คนอื่นได้ง่าย มีข้อยกเว้นคือซื้อกระเป๋าตังค์ให้คนรัก สามีหรือภรรยา เพราะโดยปกติคู่รักส่วนใหญ่ก็จะต้องมีการร่วมลงทุนด้วยกัน ดังนั้นซื้อกระเป๋าตังค์ให้คนรักจึงถือว่าทำได้
2. ของที่ไม่เป็นประโยชน์หรือวัตถุอันตราย
สิ่งของบางประเภทคนให้ต้องระวังเป็นพิเศษว่าจะส่งผลเสียต่อผู้รับทั้งในด้านการทำงาน การเรียน การใช้ชีวิตหรือสุขภาพ และครอบครัวหรือไม่ เช่น ไม่มอบสิ่งเสพย์ติด หนังสือไร้สาระ หรือเครื่องเสียงลำโพงให้ เฉพาะอย่างยิ่งไม่ซื้อบุหรี่ และสุราให้ผู้รับ (จีนสมัยใหม่)เพราะจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ
3. ไม่มอบดอกเบญจมาศ หรือ ดอกเก๊กฮวยให้
สำหรับพิธีงานศพของคนจีนทั่วไปจะประดับโรงศพด้วยดอกเบญจมาศสีขาว โดยกล่าวกันว่ากลีบดอกเบญจมาศสดมักจะไม่เหนี่ยว เปรียบเสมือนการระลึกถึงผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วจะยังอยู่ในใจของญาติพี่น้องมิตรสหายตลอดไป
4. เทียนไข
ถึงแม้ในปัจจุบันจะมีการออกแบบเทียนไขเพื่อใช้ตกแต่งบ้านมากมาย และอาจะมีเพื่อนฝูงบางกลุ่มที่นิยมซื้อเทียนไขให้กัน แต่ว่าสำหรับธรรมเนียมจีนนั้น ปกติจะใช้เทียนไขในการไหว้คนที่ตายไปแล้ว ดังนั้น การซื้อเทียนไขให้กันไม่ว่าจะออกแบบสวยแค่ไหนก็ไม่ควรทำ
5. ตุ๊กตา หรือรูปปั้นคนตัวเล็กๆ
ตุ๊กตาผ้าทั่วไป หรือจำพวกรูปปั้นคล้ายๆ คน สิ่งของเหล่านี้ จะสอดคล้องกับคำภาษาจีนว่า “小人” 小 แปลว่า เล็ก 人แปลว่า คน ก็คือ สิ่งของที่คล้ายคนตัวเล็ก เป็นคำแสลงอีกอย่างแปลว่า “คนร้าย”
6. ก้อนหินหรือวัตถุโบราณที่ไม่มีที่มาที่ไป
สำหรับจำพวกก้อนหินเก่าๆ หรือวัตถุโบราณที่ไม่มีที่มาที่ไปเหล่านี้ เชื่อกันว่าอาจมีคำสาปแช่ง หรือวิญญาณชั่วร้ายอยู่ในนั้น แม้ว่าวัตถุโบราณบางประเภทจะมีมูลค่าสูงมาก แต่ถ้าหากไม่รู้ว่าสิ่งของเหล่านี้มีเรื่องราว หรือที่มาที่ไปอย่างไร ก็อย่าถือวิสาสะมอบให้คนอื่นเป็นของขวัญ
7. มีดหรือของมีคม
อาจมีคนจีนบางจำพวกที่เป็นนักสะสมพวกดาบ หรือมีดแปลกๆ ที่ชอบส่งดาบให้กับคนอื่นเป็นของขวัญ ซึ่งความเชื่อนี้ก็มีหลายๆ คนในหลายๆ ประเทศไม่นิยมมอบให้กัน เพราะมีด หรือดาบเป็นของมีคม ก็เหมือนสามารถตัดความสัมพันธ์ได้ หรือหมายถึงถ้ามอบให้ผู้รับ ผู้รับก็อาจเอาไปทำร้ายร่างกายคนอื่นได้เช่นกัน
8. โถแก้วปลา หรืออ่างแก้วเลี้ยงปลา
ตามตำราฮวงจุ้ย เชื่อกันว่าอ่างแก้วเลี้ยงปลาคือวัตถุที่สามารถปรับเปลี่ยนฮวงจุ้ยให้กับคนๆ นั้นได้ เพราะหากวางไว้จุดที่ถูกต้องก็จะสามารถเรียกทรัพย์สินเงินทองได้ แต่ถ้าวางอ่างแก้วไม่ถูกจุดก็จะเป็นการรั่วไหลของทรัพย์สินเช่นกัน ดังนั้น การซื้ออ่างแก้วใส่ปลาให้เป็นของขวัญก็ไม่สมควรทำ เพราะอาจนำไปสู่การเปลี่ยนดวงชะตาชีวิตของผู้อื่น
9. หมอนหนุน
หมอนหนุนคือสิ่งของส่วนบุคคลที่ต้องใช้ทุกๆ คืน แต่ว่าการส่งหมอนให้คนอื่นโดยไม่ระวัง ก็อาจหมายถึงชีวิตภายหลังของผู้ให้เอง ไม่ต้องมีเรื่องที่กังวลใจ เท่ากับว่าการที่ไม่มีเรื่องให้กังวลคือ ลดอายุของผู้ให้สั้นลง กลับกันเชื่อว่าจะทำให้ชีวิตของผู้ให้ดึงดูดแต่สิ่งไม่ดีเข้าหาตัว ดังนั้น จึงต้องระวัง แต่ถ้าซื้อหมอนให้กับคนรักเป็นของขวัญ ก็ยังสามารถทำได้
10. ของที่ไม่เหมาะกับผู้รับ
สำหรับบุคคลแต่ละบุคคลอาจมีสิ่งของที่ไม่ถูกกับตนเอง อย่างเช่น ไม่ควรมอบอาหารที่มีไขมันสูงให้กับผู้ป่วยความดันโลหิต หรือซื้อของหวานให้กับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพราะหากไม่ระวังข้อนี้ คนที่รับของขวัญจากเราจะเข้าใจว่าเราไม่เคารพ ใส่ใจ และไม่ให้เกียรติ
11. ไม่มอบรูปปั้นเทพเจ้า หรือ ไฉ่ซิงเอี้ย
การมอบรูปปั้นเทพเจ้าโชคลาภให้กับเพื่อนสนิทที่กำลังเปิดร้านหรือธุรกิจใหม่ดูเป็นเรื่องปกติทั่วไป แต่จริงๆ แล้วมีความเชื่อกันว่าการมอบเทพเจ้าโชคลาภให้กันก็คือการเอาโชคลาภของตนเองให้คนอื่น อีกทั้ง สำหรับคนที่นับถือกราบไหว้เทพเจ้าเหล่านี้จริงๆ จะต้องเช่าบูชาองค์เทพเจ้าจากศาลเจ้าด้วยตัวเองเพื่อเอามาไว้บูชา ไม่สามารถซื้อขายส่งมอบให้กันได้ตามอำเภอใจ หากทำเช่นกัน เชื่อว่าทั้งผู้ให้และผู้รับเทพเจ้าก็อาจจะต้องมีปัญหาด้านการเงินทั้งคู่ก็เป็นได้
12. รองเท้า
การออกเสียงคำว่า รองเท้าภาษาจีน พ้องเสียงกับคำว่า邪 ที่แปลว่า สิ่งชั่วร้าย, ปีศาจ ซึ่งจริงๆ สำหรับคนที่สนิทสนมครอบครัวเดียวกันก็อนุโลมให้ซื้อให้ได้ แต่สำหรับคนอื่นทั่วไปจะไม่นิยมซื้อรองเท้าให้กันเพราะอาจทำให้ผู้รับเข้าใจผิดว่า ผู้ให้มีประสงค์ร้ายต่อกัน
13. ร่ม
การออกเสียงคำว่า ร่มภาษาจีน พ้องเสียงกับคำว่า散 ที่แปลว่ากระจัดกระจาย ดังนั้น จึงไม่ควรซื้อร่มให้เป็นของขวัญเพราะจะทำให้ความสัมพันธ์ของคู่รัก เพื่อนสนิทจะต้องแยกทางกัน ตัดขาดกันในเวลาอันใกล้
14. สาลี่
คำว่า สาลี่ ภาษาจีน พ้องเสียงกับคำว่า离ที่แปลว่า ออกห่างจากกัน หากส่งให้คนอื่นแล้วจะกินสาลี่ก็ต้องหั่น การหั่นสาลี่ก็คือ การออกห่างจากกัน แยกทางกัน
15. กระจก
คนจีนเชื่อกันว่า พวกเรื่องลี้ลับที่เกิดขึ้นส่วนมากมักจะเกี่ยวข้องกับกระจก ถ้าหากว่าวางกระจกไว้ในสถานที่อับ ก็จะทำให้สภาพแวดล้อมไม่ดี อีกทั้งตามหนังสยองขวัญส่วนใหญ่ก็จะมีกระจกเกี่ยวข้องในเรื่อง ทั้งๆ ที่จริงตามฮวงจุ้ยนั้น การใช้กระจกวางในจุดที่เหมาะสมก็จะดีมาก แต่หากวางในที่ไม่เหมาะก็อาจจะหมายถึงการดึงสิ่งชั่วร้ายเข้ามาให้กับตัวเอง
16. นาฬิกา
ความเชื่อของคนจีนข้อนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นที่รู้ตรงกันว่า คำว่า การส่งนาฬิกา พ้องเสียงกับคำว่า การส่งศพ ไม่ว่าจะมอบนาฬิกาแบบไหนให้กัน ก็ต้องระวังว่าผู้รับจะเข้าใจผิดเพราะการส่งนาฬิกาให้(เป็นของขวัญ) มีความหมายที่ไม่ดีนั่นเอง
ขณะที่ของขวัญมงคลในช่วงเทศกาลตรุษจีน ที่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมายาวนาน โดยส่วนใหญ่นิยมให้…
1. “อั่งเปา” หมายถึงซอง/กระเป๋าสีแดง ซึ่งสีแดง สำหรับคนจีนถือเป็นสัญลักษณ์ของความโชคดี และการใส่เงินในซอง ส่วนใหญ่จะใส่เป็นเลขคู่ โดยเฉพาะเลข 8 เป็นเลขมงคลของคนจีน เนื่องจากอ่านออกเสียงว่า “ปา” พ้องเสียงกับคำว่า “ฟา” ที่หมายถึงความเจริญรุ่งเรือง ความร่ำรวย ความเฟื่องฟู
2. “ส้มสีทอง” ตามสำเนียงแต้จิ๋วอ่านว่า “กิก” พ้องเสียงกับคำว่าความสุข หรือโชคลาภ และในสำเนียงฮกเกี้ยน และกว้างตุ้ง อ่านว่า “ก้าม” พ้องเสียงกับคำว่าทอง ทำให้ “ส้ม” เป็นของขวัญมงคลที่เป็นสัญลักษณ์ของความสุข ความโชคดี หรือโชคลาภ

3 กุมภาพันธ์ 2561

10 วิธีรักตัวเอง ให้มากขึ้นกว่าเมื่อวาน


 ใกล้วาเลนไทน์แล้ว อยากให้ทุกท่านรักตัวเองให้มาก เพราะหากเรารักตัวเองเป็น เราจะเติมเต็มให้ตัวเอง ก่อนที่จะคาดหวังให้ผู้อื่นมาเติมเต็ม ความรักไม่ใช่การทุ่มเทและเสียสละจนเกิดไป ลองคิดย้อนกลับไปว่าเราเคยให้ความรักกับใครไปสักคนจนลืมรักตัวเองกันรึเปล่า ตอนนี้คงถึงเวลาที่เราต้องหันกลับมารักตัวเองให้มากขึ้นแล้วล่ะ อย่ามัวปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับอดีต ถ้ายังไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี ก็ขอให้ลองดู 10 วิธีรักตัวเอง ให้มากขึ้นกว่าเมื่อวานนี้ดู


รักตัวเอง


อ่านหนังสือเล่มโปรด
เตรียมชาถ้วยโปรดพร้อมกองหนังสือตั้งใหญ่ที่คุณยังไม่เคยอ่านมาตลอดปี แล้วปลดปล่อยอารมณ์ของคุณไปตามจินตนาการ หรือลองสวมบทบาทเป็นตัวละครสักตัวดูก็ยังได้

นัดเจอกับเพื่อน
กินอาหารกลางวันกับเพื่อนซี้สมัยเด็กหรือรูมเมทตอนเรียนมหาวิทยาลัย คนที่คุณไม่ได้พบเจอกันมานาน แลกเปลี่ยนข้อมูลและอัพเดทชีวิตกันซะหน่อย ได้หัวเราะ ร้องไห้ และขำขันไปกับความทรงจำสมัยก่อนนู้นที่เราเกือบลืมมันไปแล้ว

สูดลมหายใจ
ใช้เวลาชั่วขณะหนึ่งเพื่อสูดลมหายใจ เพียงแค่จดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออกของตัวเอง แล้วอยู่กับช่วงเวลานั้นเพียงครู่เดียว เราจะได้ทั้งความผ่อนคลายและได้จดจ่ออยู่กับตัวเองมากขึ้น


ทำสิ่งที่ดีต่อใจ
หากคุณกำลังดิ้นรนอยู่กับความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า หรือความเครียดในชีวิตประจำวัน ให้หยุดพักแล้วหาทางเยียวยาจิตใจและมอบความรักให้ตัวเอง ด้วยการพาตัวเองออกไปหาอะไรที่ดีต่อใจทำ เช่น ตัดผมใหม่ กิจกรรมที่อยากลองทำมานานแล้วแต่ไม่กล้า ฯลฯ อะไรก็ได้ที่ทำให้ “ใจ” คุณมีความสุข
รักตัวเอง เลือกรับประทาน

เดินค่ะเดิน
ไม่ว่าคุณจะผ่านอะไรที่หนักหนาสาหัสมา การเดินสามารถช่วยเยียวยาได้อย่างน่าประหลาดใจ เพียงแค่ออกไปเดินใกล้ๆ บ้าน 30 นาที จะช่วยให้หัวคุณโล่งและปัดเป่าสิ่งที่กำลังกังวลอยู่ออกจากใจ แถมได้สุขภาพอีกด้วยนะ

จดบันทึกเรื่องดีๆ
เขียนทุกๆ เรื่องที่ทำให้คุณมีความสุข ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องใหญ่ จะเป็นเรื่องเล็กน้อยขนาดไหนก็ได้ สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าคุณสามารถมองเห็นทุกสิ่งในชีวิตเป็นเรื่องมหัศจรรย์

ผ่อนคลาย

นั่งลงแล้วทบทวนตัวเอง
ใช้เวลานั่งตามลำพังแล้วปล่อยให้ตัวเองรู้สึกในสิ่งที่ต้องการ โยนความเครียดจากความต้องการที่จะสมบูรณ์แบบทิ้งไป เลิกคิดว่าโลกนี้ต้องการอะไรจากคุณ และสัมผัสถึงน้ำหนักของความคาดหวังเหล่านั้นว่ากำลังหายไปจากใจ

ถอดปลั๊ก
วางทุกอุปกรณ์การสื่อสารและใช้ชีวิตให้ช้าลง คุณไม่เห็นจำเป็นต้องตามโลกในทุกวินาที ลองเลิกสนใจโซเชียลมีเดีย ชีวิตของคนอื่น ข่าวสารที่ท่วมท้น และเรื่องราวอื่นๆ ที่รบกวนใจ ปล่อยให้ตัวเองได้พักบ้าง

ให้อภัยตัวเอง
ถึงจะรู้ว่าเศร้าและแย่แค่ไหน สิ่งแรกที่ควรทำคือการให้อภัยตัวเอง ให้อภัยตัวเองจากเรื่องที่เคยทำผิดพลาดและคนในอดีต ยกโทษให้ตัวเองกับเรื่องที่ควรทำแต่กลับไม่ได้ทำ เลิกทุรนทุรายกับสิ่งที่ผ่านพ้นไปแล้ว

ไม่ต้องเพอร์เฟ็ค
เข้าใจตัวเองว่าเราไม่ได้เพอร์เฟ็คหรือจำเป็นต้องชอบชีวิตของตัวเองอยู่ตลอดเวลา เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่เห็นจะเป็นไรนี่ ก็ในเมื่อเราเป็นเพียงคนธรรมดาๆ คนนึง

ฟิตเนตออกกำลังกาย ใจกลางทับสะแก

ความสุขอยู่รอบตัวเรา (ความรักก็เช่นกัน)

    ในยามที่คุณรู้สึก เหงา โดดเดี่ยว อ้างว้าง ท้อแท้ และต้องการกำลังใจจากใครสักคน แต่ความจริงแล้ว กำลังใจที่ดีที่สุดเกิดจากตัวเราเอง ชีวิตก็ยังคงต้องดำเนินต่อไปตามวันเวลาที่หมุนผ่านเลย จนไม่อาจรอกำลังใจจากใครอื่นได้ ก่อนจะรักใคร รักตัวเองให้เป็นก่อน
    จึงน่าจะดีกว่า ถ้าหากเรารู้จักสร้างกำลังใจให้ตัวเอง เพื่อเป็นเกราะคุ้มกันและเป็นแรงผลักดันให้เราก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
     

     
       1. หยุดเปรียบเทียบ
       ก่อนที่จะเริ่มต้นให้กำลังใจตัวเอง คุณจะต้องหยุดเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นๆ เพราะการเปรียบเทียบมีแต่จะทำให้คุณรู้สึกแย่ลง ยิ่งเปรียบเทียบกับคนที่มีหลายสิ่งเหนือกว่า ก็จะยิ่งทำให้แย่หนักขึ้น
       ทางที่ถูกนั้นควรหันมาดูตัวเอง ว่ามีดีอะไรบ้าง แล้วทำในสิ่งดีๆ สิ่งที่ตัวเองชอบและถนัด ซึ่งเมื่อผลลัพธ์ออกมาดี คุณก็จะมีกำลังใจมากยิ่งขึ้น
     
       2. หมั่นชมตัวเอง
       การมองกระจกและพูดสิ่งที่คุณชื่นชมในตัวเอง หรือเขียนลงในสมุดบันทึก เป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะหลายครั้งที่เรามักกล่าวชมเชยผู้อื่นถึงความสำเร็จของเขา แต่ไม่เคยสักครั้งที่จะชมตัวเองเมื่อประสบความสำเร็จ
       ดังนั้น ทุกครั้งที่ทำงานสำเร็จหรือทำสิ่งดีๆ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ จงพูดให้กำลังใจตัวเอง โดยไม่ต้องรอคำชมจากใคร
     
       3. ทำสิ่งพิเศษในแต่ละวัน
       การทำเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่น ออกกำลังกาย เดินเล่นในสวน รับประทานอาหารที่ชอบ ฟังเพลงโปรด อ่านหนังสือ นั่งสมาธิ ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็นกิจกรรมที่ทำให้คุณมีความสุขได้อย่างง่ายๆ และเป็นเหมือนการชาร์จแบตเตอรี่ เพิ่มพลังชีวิตให้ตัวเองพร้อมเดินหน้าต่อไปอย่างมีความสุข
     
       4. ยิ้มบ่อยๆ
       รู้มั้ยว่า ทุกครั้งที่คนเรายิ้ม จะส่งผลให้โลหิตแดงที่ไปเลี้ยงสมองมีอุณหภูมิลดลง ทำให้รู้สึกสบายและผ่อนคลายจากความตึงเครียด และการยิ้มยังทำให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีในร่างกาย เพราะเมื่อคุณรู้สึกสบายกายสบายใจ สมองจะหลั่งสารเอ็นโดรฟินหรือสารแห่งความสุข ทำให้อารมณ์แจ่มใส เบิกบาน

       ที่สำคัญ การยิ้มยังเป็นการเรียกขวัญกำลังใจให้เราสู้กับทุกสถานการณ์ได้อย่างไม่หวาดหวั่น
     
ให้อภัย

       5. ให้อภัยตัวเอง
       เมื่อทำผิดพลาด อย่าซ้ำเติมตัวเอง แต่ต้องรู้จักให้อภัยตัวเอง และถือเป็นบทเรียนที่ดีในการมุ่งมั่นต่อไปให้ถึงจุดหมาย
       จำไว้ว่า แม้แต่บุคคลที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด ก็ล้วนผ่านความผิดหวังมาแล้วทั้งสิ้น แต่พวกเขาเรียนรู้จากข้อผิดพลาด แล้วนำมาแก้ไขให้ดีขึ้นในอนาคต คุณเองก็ทำได้เช่นกัน
     
       6. คิดถึงข้อดีของตัวเอง
       ควรจดบันทึกข้อดีที่คุณมีอย่างน้อย 10 อย่าง เช่น เป็นคนจิตใจดี มีความเมตตากรุณา มีความอดทน ยิ้มง่าย ฯลฯ ไว้ใกล้ตัว เพราะยามที่คุณรู้สึกหดหู่ สิ้นหวัง และต้องการกำลังใจอย่างยิ่ง การหวนกลับไปอ่านสิ่งดีๆเหล่านี้บ่อยๆ ก็จะช่วยเรียกขวัญกำลังใจกลับคืนมาได้
     
       7. เข้าร่วมกลุ่ม
       การเข้าร่วมกลุ่มคนที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยสร้างกำลังใจให้ตัวเองได้เป็นอย่างดี เช่น หากคุณเป็นคนอ้วน และต้องการลดน้ำหนัก ลองสมัครเป็นสมาชิกฟิตเนสคลับ ที่มีครูสอนอย่างถูกวิธี และอยู่ท่ามกลางคนอ้วนที่รักษาสุขภาพเหมือนกัน ก็เป็นบรรยากาศที่จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้น
     
       8. เอาชนะความกลัว
       บ่อยครั้งที่ความกลัว ทำให้เสียโอกาสดีๆที่เข้ามาในชีวิตอย่างน่าเสียดาย เพราะความกลัวทำให้เราหยุดอยู่กับที่ ไม่กล้าที่จะก้าวเดินต่อไป
       แต่ถ้าสามารถควบคุมหรือเอาชนะความกลัวให้หมดจากใจได้ จะทำให้เราเข้มแข็งขึ้น และมีกำลังใจที่พร้อมจะสู้กับทุกสิ่งทุกอย่าง
     
       9. ตั้งเป้าหมายเล็กๆ
       หากมีภารกิจที่ต้องทำมากมายในแต่ละวัน ขอให้เริ่มต้นทำเรื่องง่ายๆ เล็กๆ ที่ไม่ต้องใช้เวลามากนัก ให้สำเร็จก่อน เช่น ทำความสะอาดห้อง รดน้ำต้นไม้ ฯลฯ เพราะเมื่อทำเสร็จ คุณจะได้มีกำลังใจที่จะเดินหน้าทำงานชิ้นใหญ่ต่อไป
     
       10. เชื่อมั่น “ทำดี ได้ดี”
     การทำดีนั้นเมื่อเริ่มทำเราก็รู้สึกมีความสุข เช่นเดียวกับเมื่อเริ่มทำชั่ว ก็จะเริ่มมีความทุกข์ กลัวคนอื่นจะรู้ ดังนั้น สุข ทุกข์ จึงอยู่ที่ใจเป็นสำคัญ
   
     
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 153 กันยายน 2556 โดย ประกายรุ้ง)
ฟิตเนตออกกำลังกาย ใจกลางทับสะแก

23 ตุลาคม 2560

กินอาหารลดความอ้วน ด้วยเมนูอาหารที่ให้พลังงานต่ำ !!

อาหารต่อไปนี้เป็นเมนูอาหารที่ให้พลังงานต่ำ ที่คุณสามารถเลือกรับประทานได้
600

1. อาหารประเภทต้ม
ให้พลังงานไม่เกิน 200 กิโลแคลอรี่ เช่น ต้มยำกุ้งน้ำใส ต้มยำปลาช่อนน้ำใส แกงเหลืองปักษ์ใต้ แกงจืดตำลึงวุ้นเส้น แกงจืดลูกรอก แกงจืดมะระยัดไส้ ไก่ต้มฟักมะนาวดอง สุกี้ เป็นต้น
ให้พลังงานไม่เกิน 300 กิโลแคลอรี่ เช่น กระเพาะปลา ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นน้ำใส วุ้นเส้นต้มยำ ก๋วยเตี๋ยวหลอดทรงเครื่อง เกาเหลาเลือดหมู (ไม่ใส่เครื่องใน) ก๋วยเตี๋ยวเป็ดตุ๋นน้ำ ขนมจีนน้ำเงี้ยว

2. อาหารประเภทยำ
ให้พลังงานไม่เกิน 200 กิโลแคลอรี่ เช่น ส้มตำไทย ยำตะไคร้ ยำมะระ ยำผักหวาน ยำสมุนไพร ลาบไก่ พล่ากุ้ง

3. อาหารประเภทนึ่ง
ให้พลังงานไม่เกิน 300 กิโลแคลอรี่ เช่น เต้าหู้นึ่งทรงเครื่อง ปลานึ่งสมุนไพร ปลากะพงนึ่งมะนาว ปลาช่อนนึ่งจิ้มแจ่ว ปลาทับทิมนึ่งซีอิ้ว ปลากะพงนึ่งบ๊วย

4. อาหารประเภทน้ำพริก
ให้พลังงานไม่เกิน 200 กิโลแคลอรี่ เช่น น้ำพริกปลาร้า น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกกุ้งสด น้ำพริกมะขาม น้ำพริกตะไคร้ น้ำพริกปลาทู น้ำพริกลงเรือ น้ำพริกกุ้งเสียบ 

5. อาหารประเภทอื่น ๆ
ให้พลังงานไม่เกิน 200 กิโลแคลอรี่ เช่น ปลากะพงลวกจิ้ม ปลาสำลีเผาไก่ตุ๋นมะนาวดอง ไข่ตุ๋นฟักทอง เมี่ยงปลาทู เมี่ยงคะน้า
ที่ สำคัญอย่าคิดเข้าข้างตัวเอง ว่าไม่เป็นไรหรอกกินวันนี้เยอะเดี๋ยวค่อยไปลดวันอื่นก็ได้ เพราะพอเอาเข้าจริง ๆ คุณอาจมีงานเลี้ยงหรือของกินอร่อย ๆ ในวันอื่นอีก จำไว้ว่าถ้าคุณกินมากเกินไป อย่ากิน 2 มื้อในวันนั้น ๆ เมื่อรู้ตัวว่ากินเยอะมาแล้วในมื้อที่ผ่านมา มื้อต่อไปควรลดปริมาณข้างลงหรือไม่กินข้าว แล้วเลือกกินเฉพาะกับข้าวที่มีผัก ถ้าปล่อยไปทั้งวัน น้ำหนักขึ้นแน่ ๆ

24 กันยายน 2560

8 เมนูนี้ยิ่งกินหน้ายิ่งใส

    อาหารเป็นยาในตัวของมันเองอยู่แล้ว ถ้าเลือกให้ถูก สิ่งที่คุณกินเข้าไปจะช่วยลดการเกิดสารอนุมูลอิสระ ตัวการสร้างริ้วรอยบนใบหน้าของเราได้

1.แอพริคอต ฟักทอง แคนตาลูป แครท พีช บร็อคโคลี่ เป็นพืชที่ให้สารแคโรทีนอยด์ ที่ร่างกายเราสามารถเปลี่ยนให้เป็นวิตามินเอได้ ช่วยบำรุงผิว บำรุงสายตา และล้างสารพิษออกจากผิว
2.ช็อกโกแลตดำ องุ่นแดง และชาเขียว ฟลาโวนอยด์ในช็อกโกแลตดำ องุ่นแดง และชาเขียว เป็นเม็ดสีชนิดละลายน้ำ มีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระได้มากกว่าวิตามินซีและอีถึง 50 เท่า ใครกินเป็นประจำหน้าจะใสกิ๊ง สมใจ
3.ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ มีสารแอนโธไซยานิน ที่ช่วยต้านการอักเสบของเซลล์ กินบ่อยๆเซลล์จะแข็งแรง ลดการเกิดสิวไปในตัว
มิกซ์เบอร์รี่

4.แซลมอน ปลาทู ปลาทูน่า มีโคเอนไซม์คิวเทน สารอาหารชื่อดังที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระที่เกิดจากรังสียูวี เหมาะสำหรับคนทำงานที่ต้องนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน
5.ฝรั่ง สตรอเบอร์รี่ ส้ม เชอร์รี่ เสาวรส ทับทิม อุดมไปด้วยวิตามินซีที่จะเข้าไปเสริมทัพให้สารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นทำงานได้ผลดีขึ้น

6.น้ำมันปาล์ม ถั่วลิสง วอลนัต อัลมอนด์ เป็นแหล่งรวมตัวของวิตามินอี ที่เป็นสุดยอดอาหารสำหรับผิว ช่วยยืดอายุเซลล์ทำให้ผิวเหี่ยวย่นช้า ป้องกันรอยกระ จุดด่างดำ และยังต่อต้านสารพิษที่จะสะสมอยู่ในอวัยวะภายในของเราอีกด้วย
7.เนื้อแดง อาหารทะเล และถั่วเปลือกแข็ง สำหรับคนที่เริ่มมีริ้วรอยแล้ว แร่ซีลีเนียมและสังกะสี จะเสริมการทำงานของวิตามินอี ช่วยฟื้นฟูเซลล์ที่หมดสภาพให้กลับมา ริ้วรอยตื้นๆจะได้หายไป
เนื้อวัว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : spicy

12 สิงหาคม 2560

ปัจจุบันโรคอ้วนในเด็กกำลังเป็นปัญหามากขึ้น

 จากการวิจัยพบว่าเด็กไทยวัยก่อนเรียน และ วัยเรียน มีความชุกของโรคอ้วนเพิ่มขึ้นร้อยละ 36 และ 15.5 ตามลำดับภายในระยะเวลา 5 ปี สาเหตุของโรคอ้วนเกิดจาก
โรคอ้วนในวัยเด็ก

พันธุกรรม และ สิ่งแวดล้อม ได้แก่ พฤติกรรมการกิน การเลี้ยงดู ที่ทำให้กินแล้วได้พลังงานมากกว่าที่ร่างกายใช้เช่น กินของทอด ของหวาน อิทธิพลโฆษณาทำให้เด็กชอบกินขนม น้ำอัดลม อาหารขยะตามที่เห็นในโทรทัศน์ การไม่กินผัก ผลไม้หรืออาหารที่มีใยอาหาร การไม่ออกกำลังกาย และการเล่นเกมส์ คอมพิวเตอร์และดูโทรทัศน์มากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวันซึ่งจากการวิจัยพบว่าเด็กที่เล่นเกมส์ คอมพิวเตอร์และดูโทรทัศน์มากกว่า2ชั่วโมงต่อวันจะเป็นโรคอ้วนมากว่าเล่นเกมส์ คอมพิวเตอร์และดูโทรทัศน์น้อยกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน






ผลเสียของโรคอ้วน
1.มีคนจำนวนมากที่คิดว่าเด็กอ้วนน่ารัก แข็งแรงและจะหายเองเมื่อเด็กโตขึ้น แต่จากการศึกษาพบว่าร้อยละ10-20ของทารกที่อ้วนเมื่อโตขึ้นจะเป็นเด็กอ้วน ร้อยละ40ของเด็กอ้วนเมื่อโตขึ้นจะเป็นวัยรุ่นที่อ้วน และร้อยละ75-80ของวัยรุ่นที่อ้วนจะโตเป็นผู้ใหญ่ที่อ้วน แสดงว่าเด็กอ้วนจะไม่หายและจะมีปัญหาเป็นโรคอ้วนเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่
2.จากการวิจัยพบว่าเด็กอ้วนเมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่จะมีอัตราการเสียชีวิตทั่วไปและเสียชีวิตเนื่องจากโรคหัวใจมากกว่าเด็กไม่อ้วน 2 เท่า
3.โรคเบาหวาน
4.ไขมันในเลือดสูง
5.ความดันโลหิตสูง
6.โรคหลอดเลือดแข็ง ซึ่งจะมีผลทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจลดลงและกล้ามเนื้อหัวใจตายและเลือดเลี้ยงสมองน้อยลงทำให้เป็นโรคอัมพาตและอัมพฤกษ์ได้
7.ไขมันพอกตับ ทำให้ตับอักเสบ แข็งและวายได้
8.นิ่วถุงน้ำดี
9.ความดันในกะโหลกศรีษะสูงคล้ายกับการมีเนื้องอกในสมอง ทำให้ปวดศรีษะรุนแรงและอาเจียน
10.นอนกรน หยุดหายใจขณะนอนหลับ จนสามารถทำให้ออกซิเจนในเลือดต่ำมีผลเสียต่อร่างกาย สมอง หัวใจและปอดจนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
11.ผลเสียต่อกระดูก ข้อ และกล้ามเนื้อที่ต้องแบกรับน้ำหนักตัวที่มากเกินไป
12.ผลเสียต่อด้านจิตใจ เป็นปมด้อย ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ซึมเศร้า และอาจทำให้มีปัญหาพฤติกรรมการกินได้
โรคเด็กอ้วน



จะเห็นได้ว่าโรคอ้วนไม่ใช่โรคของผู้ใหญ่เท่านั้น แต่เป็นโรคที่เป็นตั้งแต่เด็กแล้วมีการสะสมของไขมันมากขึ้นเรื่อยๆตามหลอดเลือด หัวใจ สมอง ตับและอวัยวะอื่นๆในร่างกายจนกระทั่งถึงจุดที่จะแสดงอาการของโรคต่างๆที่กล่าวมาแล้วเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ โรคอ้วนในเด็และผู้ใหญ่จึงเป็นโรคที่ร้ายแรงมากกว่าที่เราคิด และทีสำคัญคือรักษายากเมื่อเป็นแล้ว ควรหาทางป้องกันไม่ให้เป็นจะดีกว่าการรักษา ไว้คราวหน้าหมอจะเล่าให้ฟังเรื่องวิธีการป้องกันและรักษาโรคอ้วนให้ทราบนะครั

3 มิถุนายน 2560

“มันเทศ” ประโยชน์แน่นเพื่อสุขภาพ


มันเทศ

มันเทศ จัดอยู่ในหมวดคาร์โบไฮเดรต มีหลายสี อาทิ สีเหลือง สีส้ม สีม่วง ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามแต่ละสายพันธุ์
แม้ว่าจะถูกจัดอยู่ในหมวดแป้งหรือคาร์โบไฮเดรต แต่ทว่ามันเทศนั้นจัดเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ดี ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมาก ซึ่งมันเทศปริมาณ 100 กรัม จะให้คาร์โบไฮเดรต 25 กรัม และให้พลังงาน 90 แคลอรี่เท่านั้น
อีกทั้งยังมีวิตามินและแร่ธาตุมากมาย แถมปริมาณไขมันน้อยมากหรือเรียกว่าแทบไม่มีเลยด้วยซ้ำ


ประโยชน์ของมันเทศ
1. มีปริมาณไฟเบอร์สูงมาก จึงสามารถช่วยบรรเทาอาการท้องผูกและลดอัตราเสี่ยงของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
2. เนื่องจากมีไฟเบอร์สูงจึงดีต่อผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก เพราะทานแล้วอยู่ท้องทำให้อิ่มนาน
3. ช่วยลดไขมันในเลือดได้
4. ช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด
5. ดีต่อสุขภาพหัวใจ เนื่องจากมันเทศสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ
6. ลดความเสี่ยงโรคเส้นเลือดในสมองอุดตัน
7. เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตชั้นดีเหมาะสำหรับรับประทานก่อนและหลังออกกำลังกาย
8. บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งเพราะในมันเทศมีวิตามินซี
9. มันเทศสีเหลืองและสีส้มจะมีส่วนช่วยบำรุงสายตาเพราะมีเบต้าแคโรทีนสูง
10. มันเทศสีม่วงสามารถต้านอนุมูลอิสระได้เนื่องจากในมันเทศสีม่วงนั้นจะมีสารแอนโทไซยานินค่อนข้างสูงซึ่งจะช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ได้
11. ลดความเสี่ยงของโรคข้ออักเสบได้
12. ในมันเทศอุดมไปด้วยวิตามินบี 1 จึงช่วยเรื่องเหน็บชาได้

มันเทศช่วยลดน้ำหนักได้ค่ะ กินก่อนและหลังออกกำลังกายก็ดีค่ะ

13 พฤษภาคม 2560

วิ่งเปลี่ยนชีวิตเพื่อสุขภาพคนไทย


มีตำรา งานวิจัยด้านสุขภาพมากมายที่บอกถึงประโยชน์ของการวิ่ง เป็นต้นว่า

1) วิ่งครั้งละ 20- 30 นาทีขึ้นไป ร่างกายจะหลั่งสารเอนโดฟินน์หรือว่าสารแห่งความสุข ที่ทำให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า มีผลทำให้ไม่เป็นโรคซึมเศร้า คลายความวิตกกังวลสารพัด

2) สถาบัน Neurology (USA) ชี้ว่าคนที่วิ่งเป็นประจำจะลดความเสี่ยงเป็นโรคความจำเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ได้ดีกว่าคนที่ไม่วิ่งถึง 2 เท่า

3) การวิ่งช่วยลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ วิ่ง 45 นาทีที่มีความเหนื่อยระดับกลาง อัตราการเต้นของหัวใจที่ 140ครั้งต่อนาที จะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานต่อไปอีก 14 ชั่วโมงหลังจากวิ่งจบ (ช่วยเจริญอาหาร)-สถาบัน Human Performance Laboratory (USA)

4) หลายงานวิจัยพบว่า วิ่งสลับเดินต่อเนื่องให้ได้ 5-7 กิโลเมตรจำนวน 4 ครั้งต่อสัปดาห์ ควบคุมอาหารไปด้วยจะช่วยลดน้ำหนักได้ผลจริงใน 6 สัปดาห์

5) วิ่งช้าๆครั้งละ 1 ชม.สัปดาห์ละ 4 ครั้ง มีผลวิจัยของมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ดว่า ช่วยสร้างเสริมความแข็งแรงของกระดูกข้อต่อ (Joint) ลดปัญหาข้อกระดูกเสื่อมเมื่อย่างเข้าสู่วัยชราได้

6) การวิ่งช่วยลดความดันโลหิตสูงได้ ความดันโลหิตสูงเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดในสมอง โรคหัวใจวาย โดยการวิ่งมีผลให้เลือดลมภายในสูบฉีดมีค่าการไหลเวียนของอ๊อกซิเจนที่ดี

7) สถาบัน The American Journal of Physiology แนะนำให้วิ่ง 45 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ติดต่อกัน 4 เดือน ชี้ว่าเป็นวิธีช่วยเพิ่มเส้นใยกล้ามเนื้อใหม่ๆ ได้ถึง 20 % เผาผลาญไขมันในร่างกายให้คุณมีรูปร่างกระชับ ลีนจนเห็นการเปลี่ยนแปลง

8) คอเลสเตอรอล สามารถถูกควบคุมได้ด้วยการออกกำลังกายในลักษณะคาร์ดิโอ ด้วยการวิ่ง มีผลสรุปจากเมโยคลีนิคในมินนิโซต้าว่า การวิ่งต่อเนื่อง 2 เดือนช่วยเพิ่มระดับไขมันดี HDL ได้ถึง 5% ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายระหว่างไขมันดีกับไขมันเลวสมดุลย์กัน ลดความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้โดยไม่ต้องทานยา

9) ในเรื่องสุขภาวะทางเพศ The Archives of Sexual Behavior เคยทดลองว่า 71% ของชายหนุ่มอเมริกันที่มีปัญหาเรื่องไม่มีความสุขบนเตียง ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นเมื่อได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมาวิ่งสะสมสัปดาห์ละ 25-30 กิโลเมตรต่อสัปดาห์ (เฉลี่ยครั้งละ 5 กิโลเมตร)

10) มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดทำการทดลองเรื่องความกระฉับกระเฉงในหมู่ผู้สูงอายุเปรียบเทียบกับหนูบนสะพาน พบความสอดคล้องกันว่า การวิ่งสะสมต่อเนื่องมากกว่า 7 ปีขึ้นไป จะให้ค่าความเสื่อมสภาพของอวัยวะภายในน้อยกว่าคนที่ไม่วิ่งเลย

12 มีนาคม 2560

เช็กสุขภาพด่วน!! เป็น’โรคยุคดิจิทัล’หรือเปล่า?

ในยุคดิจิทัลที่มีความทันสมัยของเทคโนโลยี ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่สะดวกสบายขึ้น คนในยุคนี้จึงใช้เวลากับเทคโนโลยีในแต่ละวันนานหลายชั่วโมง พฤติกรรมก็จะนั่งอยู่ในท่าเดิมๆ ซ้ำๆ จึงส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายจนเกิดเป็นโรคต่างๆ ตามมา


เพ็ญพิชชากร แสนคำ ผู้จัดการคลินิกกายภาพบำบัดอริยะ ชั้น 1 ไลฟ์เซ็นเตอร์ (อาคารคิวเฮ้าส์ ลุมพินี) ให้ข้อมูลว่าระบบต่างๆ ในร่างกายมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงและเกี่ยวเนื่องกัน โดยเฉพาะการก้มคอมากๆ ร่วมกับการจ้องมองจอสมาร์ทโฟน หรือจอคอมพิวเตอร์ต่อเนื่องกันนานๆ ทำให้มีผลกระทบได้ทั่วทั้งร่างกาย ต่อไปนี้

1.โรคเกี่ยวกับตา ตาแห้ง ตาพร่า ปวดตา ปวดกระบอกตา สายตาสั้น
การจ้องหน้าจอนานๆ จะมีผลต่อสายตามาก ถ้ามีพฤติกรรรมนี้ตลอดเวลาจะส่งผลให้จอประสาทตาเสื่อมเร็ว หากเลี่ยงจ้องจอนานไม่ได้ ต้องเปลี่ยนอิริยาบถ หรือหลับตาพักสัก 2-3 นาที เพื่อไม่ให้จอประสาทตาและกล้ามเนื้อตาล้าจนเกินไป

2.อาการปวดศีรษะ อาการปวดคอ-บ่า-ไหล่
การนั่งทำงานในท่าเดิมๆ ร่วมกับจ้องมองเทคโนโลยีต่างๆ เป็นเวลานานทำให้มีปวดศีรษะ ปวดคอ บ่า ไหล่ อีกทั้งความเครียดต่างๆ ก็ส่งผลให้เกิดอาการดังกล่าวได้ ที่สำคัญคือ โครงสร้างของกระดูกสันหลังและคอนั้นก้มไปด้านหน้ามาก เกิดแรงกดที่กระดูกสันหลังช่วงคอ กล้ามเนื้อบริเวณรอบคอและฐานกระโหลกศีรษะก็เกร็งตัวมากกว่าปกติ ซึ่งบริเวณนี้เป็นส่วนที่มีหลอดเลือดและเส้นประสาทไปเลี้ยงบริเวณศีรษะจำนวนมาก เมื่ออยู่ในท่าก้มมาก จึงทำให้จำกัดการไหลเวียนดังกล่าวได้

ดังนั้น อาจต้องปรับร่างกายให้เหมาะสมด้วยการลุกขึ้นยืน หรือเดินเพื่อให้ร่างกายได้ขยับบ้าง ยืดเหยียดกล้ามเนื้อคอเบาๆ หมุนหัวไหล่ทุกชั่วโมง นั่งอยู่ในท่าที่ถูกต้องตัวไม่ห่างจากจอมากไป นั่งหลังตรง เปิดหัวไหล่นิดๆ ขณะที่นั่งทำงาน จะทำให้สามารถนั่งหน้าจอได้โดยไม่มีอาการปวดมารบกวน

3.โรคระบบทางเดินอาหาร ทั้งอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย
การรับประทานอาหารไม่เป็นเวลาทำให้เป็นโรคกระเพาะ และส่วนใหญ่มักทานแล้วนั่งอยู่กับที่ร่างกายไม่มีการเคลื่อนไหวทำให้ลำไส้ไม่มีการเคลื่อน ระบบการย่อยทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จึงทำให้เกิดอาการท้องอืดได้ ดังนั้น หลังจากทานข้าวควรลุกขึ้นเดินสัก 3-5 นาที หรือเปลี่ยนอิริยาบถไปเป็นการขยับเคลื่อนไหวตัวจะแก้ปัญหาอาการทางระบบนี้ได้


4.โรคภูมิแพ้ ทั้งแพ้อากาศ แพ้ผิวหนัง
ส่วนใหญ่คนในยุคนี้จะอยู่แต่ในห้องแอร์ ไม่ค่อยได้รับอากาศถ่ายเท ยิ่งหากต้องนั่งอยู่ในท่าที่หลังค่อมมากๆ ก็ยิ่งไปจำกัดการขยายตัวของปอด การหายใจไม่เต็มประสิทธิภาพ ระบบการถ่ายเทอากาศในร่างกายทำงานได้น้อยลง ออกซิเจนที่ไหลเวียนไปเลี้ยงร่างกายก็ลดลง เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดภูมิแพ้ต่างๆ จึงควรหลีกเลี่ยงการนั่งท่าหลังค่อม ควรนั่งให้ถูกต้อง นั่งหลังตรง ยืดตัวตัวตรง อาจเช็กท่าทางตัวเองด้วยการหายใจเข้าลึกๆ ยาวๆ พร้อมกับยืดอกผายไหล่ ทุกๆ ชั่วโมง อาจจะช่วยแก้ปัญหาอาการนี้ได้

5.โรคนิ้วล็อก ชานิ้ว
การที่เรานั่งใช้นิ้วเล่นอยู่หน้าจอตลอดเวลา นิ้วเราอยู่ในท่าหงิกงอ ต่อเนื่องเป็นชั่วโมงๆ ทำให้ข้อมือต้องเกร็งอยู่กับที่ เกิดการอักเสบที่เอ็นหรือปลอกหุ้มเอ็นในข้อมือได้ จึงควรยืดเหยียดนิ้วมือ แขนและหัวไหล่ทุกๆ ชั่วโมง เช่น มือประสานกัน เหยียดนิ้วและแขนให้ตึง เหยียดขึ้นเหนือศีรษะให้สุดแขนแล้ว ปล่อยมือและเหยียดแขนทั้งสองข้างไปด้านหลังช้าๆ จะทำให้กล้ามเนื้อแขน เส้นประสาทที่แขนและมือมีการยืดเหยียด เคลื่อนไหว เป็นการป้องกันภาวะนิ้วล็อกและชานิ้วได้

รู้เท่าทันโรคที่มาจากดิจิทัล เพื่อจะได้ป้องกันและดูแลรักษาได้ทันแต่เนิ่นๆ

11 มีนาคม 2560

ชัวร์หรือมั่วนิ่ม "อดอาหารช่วยหน้าเด็ก" ไขข้อสงสัยกันค่ะ

   บนโลกออนไลน์ในขณะนี้ได้มีการแพร่ข้อมูลจากนายแพทย์ชาวญี่ปุ่นว่าถ้าหาก "อดอาหาร" จะช่วยให้หน้าเด็กลงได้ จึงทำให้ผู้อ่านหลายๆ คนเกิดความสงสัยว่าสามารถช่วยได้อย่างไร มินเองก็อดอาหารค่ะ ที่อดไม่ใช่เพราะแม่คุมอาหาร แต่เพราะเบื่อ"หน่าย" กับความวุ่นวาย
อดอาหารช่วยหน้าเด็ก

Question
ทราบข่าวจากอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับนายแพทย์ชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่งที่ใช้วิธีอดอาหาร โดยการกินอาหารเพียงวันละมื้อเพื่อคงความอ่อนเยาว์ของร่างกายและทำให้สุขภาพแข็งแรง ตรงนี้อยากทราบข้อเท็จจริงว่าทำได้หรือไม่ อย่างไร

Answer
ปกติแล้วการดำรงชีวิตของคนเราจะก่อให้เกิดสารพิษ (Toxin) ที่มาจากการย่อยอาหาร ความเครียด และสิ่งแวดล้อม โดยส่วนของเนื้อเยื่อที่ตายแล้วจะถูกขับเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อระบายออกผ่านการหายใจเหงื่อ ปัสสาวะ และอุจจาระสุขภาพจะอยู่ในช่วงทรุดโทรม มีอาการปวดศีรษะ ท้องอืด อ่อนเพลีย และหงุดหงิดง่าย

การอดอาหารเป็นวิธีที่ปลอดภัยและได้ผล ช่วยให้ร่างกายขับสารพิษได้เร็วขึ้นและลดสารพิษที่เกิดขึ้นใหม่จากอาหาร ทั้งกระตุ้นการหลั่งโกร๊ธฮอร์โมน ที่ อาจารย์สาทิส  อินทรกำแหง เรียกว่า "ยาวิเศษ" ซึ่งช่วยในการซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ ในร่างกายขึ้นใหม่ให้มีอายุยืนยาวขึ้น แข็งแรงมากขึ้น เพิ่มการใช้ไขมันที่สะสมตามอวัยวะต่างๆ ลดระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยกระตุ้นการใช้โปรตีนด้วย จึงช่วยให้ดูอ่อนกว่าวัย



แมวเลือกทาน


ผลของการอดอาหาร
1. เป็นกระบวนการลดสารพิษโดยธรรมชาติ เนื่องจากร่างกายได้รับสารพิษน้อยลงจากปริมาณอาหารที่ลดลง

2. พลังงานที่ต้องใช้ย่อยอาหารลดลง จึงสามารถนำไปใช้สร้างภูมิต้านทาน เพิ่มการเติบโตของเซลล์ได้

3. ช่วยลดภาระการทำงานของระบบภูมิต้านทาน

4. ระดับไขมันและน้ำตาลในเลือดลดลง เลือดสะอาดทำให้ออกซิเจน สารอาหาร และเม็ดเลือดขาวไหลเวียนไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ได้ดีขึ้น

5. สารเคมีที่เป็นพิษซึ่งเก็บไว้ในไขมันจะถูกย่อยออกมาเพื่อขับทิ้งไป

6. การซ่อมแซมเนื้อเยื่อทำได้เต็มที่และรวดเร็ว ร่างกายสามารถทำความสะอาดตับ ไต ลำไส้ และเลือดได้มาก มีความเป็นหนุ่มเป็นสาว ตา ลิ้น สดใส หายใจสะอาดสดชื่น


การอดอาหารเป็นการดูแลสุขภาพที่ทุกศาสนาแนะนำไว้ควรอดเฉพาะอาหาร ไม่ควรอดน้ำ การกินอาหารวันละมื้อโดยเฉพาะมื้อเช้าหรือกลางวันเช่นเดียวกับพระภิกษุ นอกจากจะได้ผลดังที่กล่าวมาแล้ว สุขภาพโดยรวมจะดีขึ้นโลกออนไลน์ในขณะนี้ได้มีการแพร่ข้อมูลจากนายแพทย์ชาวญี่ปุ่นว่าถ้าหาก 

นายแพทย์ประมวล จารุตระกูลชัย 
Picture : Blogger เพื่อนแนวเดียวกัน